(12 ก.ย. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ให้ทราบถึงเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล ซึ่งนโยบายด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการทันที โดยรัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad)
ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man – made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัด
ในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว
เปิดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025” ตั้งเป้าปี 68 รายได้การท่องเที่ยวโต 7.5%
(7 ต.ค. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย (Round Table Meeting) โดยมีทั้งหมด 6 บริษัท ได้แก่ 1) Grab 2) Agoda 3) Expedia 4) IHG และ Marriott International 5) Trip.com Group และ 6) การบินไทย ซึ่งโอกาสนี้ถือเป็นความร่วมมือของรัฐบาลและภาคเอกชนในการผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ผ่านแคมเปญการท่องเที่ยวไทย “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025”
โดยในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้น 7.5% และตั้งเป้าหมายรวมไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคน และเกิดการเดินทางภายในประเทศมากกว่า 205 ล้านครั้งทั่วประเทศไทย ทั้งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกและสถานที่อันน่าค้นหา (Hidden Gems) ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้นผ่านโครงการต่าง ๆ ดังนี้ 1) มนต์เสน่ห์ไทย (Thai Charms) 2) เมืองมนต์เสน่ห์ซ่อนเร้น (Hidden Gem Cities) 3) แนวคิด 5 กิจกรรมท่องเที่ยว 5 Must – Do in Thailand ประกอบด้วย ต้องชิม (Must Taste) ต้องลอง (Must Try) ต้องช้อป (Must Buy) ต้องแสวงหา (Must Seek) และ ต้องชม (Must See)
เพิ่มขีดความสามารถด้านเที่ยวบิน ยกระดับการเชื่อมโยงให้ประเทศไทยเข้าถึงได้ง่าย
รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายตลาดที่มีศักยภาพทั่วโลก โดยจะเพิ่มขีดความสามารถด้านเที่ยวบิน และยกระดับการเชื่อมโยงซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เชื่อมต่อได้มากขึ้น และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งนี้ รัฐบาลจะส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 8 เสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สะท้อนถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นำประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก
Thailand Winter Festivals ผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและงานเทศกาลระดับโลก (festival Hub)
(28 ต.ค. 67) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ดำเนินการจัดกิจกรรมอีเวนต์และเฟสติวัลหลากหลายและครอบคลุมในทุกมิติ
กับเทศกาล Thailand Winter Festivals 2024 ภายใต้แนวคิด “7 Wonders of Thailand” ในช่วงเวลาพิเศษของประเทศไทย ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี โดยมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ เพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและงานเทศกาลระดับโลก (festival Hub)
เทศกาล Thailand Winter Festivals เชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมสัมผัสความมหัศจรรย์ของกิจกรรมไฮไลท์ “7 Wonders of Thailand” ดังนี้ เทศกาลลอยกระทง เทศกาล Countdown ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง กิจกรรมเชิงกีฬา กิจกรรมด้านวัฒนธรรม เทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรี และเทศกาลแสงสี (Lighting & Illumination) ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อมั่นว่า เทศกาล Thailand Winter Festivals 2024 จะสามารถสร้างบรรยากาศของการเดินทางท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่น ความสุข และความประทับใจให้กับชาวไทยและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางเข้ามาประเทศไทยในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงต้นปี 2568
ททท. เปิดตัวแคมเปญ “สุขท้าลอง 72 สไตล์” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศส่งท้ายปี
(9 พ.ย. 67) รัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี เปิดตัวแคมเปญ “สุขท้าลอง 72 สไตล์” พร้อมจัดทำ E – book รวบรวมกิจกรรม 5 MUST DO สร้างจุดขายมุมมองใหม่กับเส้นทางท่องเที่ยว 72 เส้นทาง 72 สไตล์ จากแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ด้วยการจัดทำ E – book ท้าให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวผ่านแนวคิด 5 Must Do in Thailand เพื่อปลุกกระแสการท่องเที่ยวไทยในช่วงปลายปีอีกทั้งเพิ่มแรงส่งให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวต่อเนื่องไปถึงปี 2568 เพิ่มความถี่ในการเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดปี เพิ่มการใช้จ่ายกระจายตัวสู่จังหวัดต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยดึงกลยุทธ์ City Marketing พัฒนาเมืองต่าง ๆ ให้เติบโตเข้าใกล้ความเป็นเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว ค้นหาจุดขาย พลิกมุมมอง บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไทยของแต่ละพื้นที่ หมุนเวียนกันไปจากเมืองสู่เมือง จากภาคสู่ภาค เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นไฮซีชั่นตลอดทั้งปี
เตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น
(10 พ.ย. 67) นาวสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี ติดตามการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวก นักท่องเที่ยว เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมต้อนรับเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น สำหรับการบริการด้านต่าง ๆ เช่น การเช็คอินเกิดความสะดวกไม่ล่าช้าจนกระทบแผนการท่องเที่ยว การใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความรวดเร็วให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้ดูแลนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย ทั้งเรื่องกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ
นโยบายฟรีวีซ่า ทำยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 140%
สำหรับเป้าหมายการท่องเที่ยวในปีนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตัวเลขเติบโตใกล้เคียงกับปี 2019
แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนของเชื้อชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะมีประเทศอินเดียเพิ่มมากขึ้น ผลสืบเนื่องมาจากอดีตนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ได้ทำนโยบายฟรีวีซ่าไว้ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 140% ซึ่งก่อนหน้านี้ (28 พ.ค. 67) ครม. เห็นชอบมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกการตรวจลงตราเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบและการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางเข้าประเทศไทย โดยมาตรการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. มาตรการระยะสั้น 5 มาตรการ (เริ่มใช้ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป) ได้แก่
• การให้สิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถพำนักในประเทศไทยไม่เกิน 60 วัน เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจและการทำงานระยะสั้น จำนวน 93 ประเทศ
• ปรับปรุงรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival: VOA) จำนวน 31 ประเทศ/ดินแดน
• เพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวที่มีทักษะและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล (remote worker หรือ digital nomad) ซึ่งประสงค์จะพำนักในประเทศไทยเพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน (workcation)
• ปรับปรุงสิทธิสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่ได้รับการตรวจ
ลงตรา Non-Immigrant Visa รหัส ED ขยายเวลาพำนักในประเทศไทยหลังสำเร็จการศึกษา 1 ปี
• เห็นควรให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการตรวจลงตราเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดนโยบายการตรวจลงตราของประเทศไทย
2. มาตรการระยะกลาง 3 มาตรการ (เริ่มใช้ 1 กันยายน – ธันวาคม 2567) ได้แก่
• จัดกลุ่มและปรับลดรหัสกำกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) จากเดิม 17 รหัส เหลือ 7 รหัส เริ่มดำเนินการในเดือนกันยายน 67
• ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพำนักระยะยาว
(Long Stay) สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ประสงค์ใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย
• ขยายการเปิดให้บริการการตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ (e-Visa) ให้ครอบคลุมสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยทุกแห่งทั่วโลก ภายในเดือนธันวาคม
ปี 2567 (เดิมให้บริการ 47 แห่งจากทั้งหมด 94 แห่ง) เป็นต้น
3. มาตรการระยะยาว (เริ่มใช้เต็มรูปแบบเดือนมิถุนายน 2568) เป็นการพัฒนาระบบ Electronic Travel Authorization (ETA) สำหรับกลุ่มคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา แบ่งเป็น
• ระยะที่ 1 เปิดระบบให้บริการภายในเดือนธันวาคม 2567 (ระบบ ETA ชั่วคราว) พร้อมระบบ
e-Visa ที่จะครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งจะยกเว้นให้ผู้ถือหนังสือเดินทาง 3 สัญชาติ ได้แก่ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ที่เดินทางข้ามแดนทางบกไม่ต้องกรอกข้อมูลผ่านระบบ ETA
• ระยะที่ 2 ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เป็นระบบ ETA ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะรวมระบบ e-Visa และระบบ ETA ไว้ในระบบเดียวกัน (Single Window Submission) โดยคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตราจะต้องลงทะเบียนก่อนเข้าประเทศไทยทุกคน ซึ่งรวมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
พัฒนาอุตสาหกรรมการบิน สร้างโอกาสไทยเป็น Aviation Hub
(5 ธ.ค. 67) รัฐบาล โดยกระทรวงคมนาคม มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน เพื่อสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็น Aviation Hub ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านการบินของเอกชนในประเทศ และสนับสนุนการเชื่อมโยงการให้บริการด้านการบินกับการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีแผนการพัฒนาด้านคมนาคมทางอากาศ 3 ระยะ ได้แก่
• ระยะเร่งด่วน มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก สร้างรอยยิ้มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้มาใช้บริการสนามบิน เช่น การนำระบบการออกบัตรโดยสารด้วยตัวเอง (CUPPS) หรือการนำระบบโหลดกระเป๋าด้วยตัวเอง (CUBD) มาใช้ รวมถึงการเชื่อมต่อการเดินทางจากสนามบินกับการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
• ระยะกลาง มุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินของท่าอากาศยานหลักของประเทศให้สามารถรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินได้มากขึ้น
• ระยะยาว ก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานล้านนา และท่าอากาศยานอันดามัน ซึ่งทั้ง 2 สนามบิน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2573 รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมการซ่อมบำรุงอากาศยานทั้งระบบ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในอนาคต